โรงเรียนและสถาบันสอนภาษาญี่ปุ่น

โรงเรียนและสถาบันสอนภาษาญี่ปุ่น

ข้อมูลการศึกษาต่อ 22 มิถุนายน 2552

Views : 4292

     ถึงแม้ว่าจะมีสถาบันการศึกษาบางแห่งสอนโดยใช้ภาษาอังกฤษ แต่ส่วนใหญ่จะสอนโดยใช้ภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด ดังนั้นนักศึกษาที่มีความประสงค์จะศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาระดับสูงในญี่ปุ่นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความสามารถทางภาษาญี่ปุ่นอย่างเพียงพอ
     ด้วยเหตุนี้นักศึกษาต่างชาติส่วนมากจะศึกษาภาษาญี่ปุ่นก่อนอย่างน้อย 6 เดือนถึง 2 ปี ก่อนสอบเข้าศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาระดับสูง

 

 

 

1.  ประเภทและจำนวนของสถาบันสอนภาษา 

     สถาบันสอนภาษาญี่ปุ่นสำหรับผู้ประสงค์จะเข้าศึกษาต่อระดับสูงในญี่ปุ่น แบ่งได้ 2 ประเภท คือ หลักสูตรภาษาญี่ปุ่นที่มหาวิทยาลัยเอกชนจัดตั้งขึ้น 58 แห่ง และสถาบันสอนภาษาญี่ปุ่นที่สมาคมส่งเสริมการศึกษาภาษาญี่ปุ่นรับรอง 373 แห่ง

 

 

 

ในบางประเทศ เช่น มาเลเซีย หรือฟิลิปินส์ ซึ่งหลักสูตรมันธยมศึกษาตอนปลายจบภายใน 10 หรือ 11 ปีนั้น นักศึกษาที่ผ่านสถาบันสอนภาษาญี่ปุ่นที่มีหลักสูตร “เตรียมศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาระดับสูง ” เท่านั้น จึงจะได้รับการรับรองว่ามีคุณสมบัติเทียบเท่าผู้จบการศึกษาในโรงเรียนที่ใช้เวลาศึกษา 12 ปี สถาบันสอนภาษาที่มีหลักสูตรดังกล่าว มี 17 แห่ง

     1. หลักสูตรภาษาญี่ปุ่นสำหรับนักศึกษาต่างชาติในมหาวิทยาลัยเอกชน

 

การจัดหลักสูตรประเภทนี้ในมหาวิทยาลัยเอกชน (รวมทั้งวิทยาลัยหลักสูตรระยะสั้น) เป็นหลักสูตรปกติที่กำหนดไว้ในกฎหมาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในระบบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย เป็นหลักสูตรสำหรับนักศึกษาต่างชาติที่ต้องการศึกษาภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นหรือวิชาพื้นฐานสำหรับเตรียมสอบคัดเลือกเข้าศึกษาระดับปริญญาตรี ซึ่งมีระยะเวลาเรียนตามหลักสูตรไม่ถึง 1 ปีและถ้าหลักสูตรของมหาวิทยาลัยใดมีระบบรับรองนักศึกษาเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยนั้น นักศึกษาก็สามารถใช้บริการหรือจะเลือกสอบเข้าเรียนในสถาบันอื่นก็ได้ นักศึกษาในหลักสูตรนี้มีความได้เปรียบในเรื่องที่พัก งานพิเศษ ตลอดจนสวัสดิการต่างๆ เช่น ความช่วยเหลือในการรักษษพยาบาลเนื่องจากได้รับสถานภาพเป็น “นักศึกษาวิทยาลัย”

     2. สถาบันสอนภาษาญี่ปุ่น

 

สถาบันสอนภาษาญี่ปุ่นของเอกชนที่สมาคมส่งเสริมการศึกษาภาษาญี่ปุ่นรับรอง จะมีหลายประเภทแตกต่างกันไปตามลักษณะของการก่อตั้งว่าก่อตั้งด้วยนิติบุคคลแบบโรงเรียน นิติบุคคลตามกฎหมายแพ่ง นอกจากภาษาญี่ปุ่นแล้ว ยังเปิดสอนหลักสูตรพื้นฐานเพื่อศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาระดับสูงในญี่ปุ่น หลักสูตรที่เรียนเป็นส่วนตัวหรือหลักสูตรระยะสั้นที่มีระยะเวลาเรียนไม่กี่สับดาห์หรือไม่กี่เดือน สำหรับหลักสูตรสำหรับการศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาระดับสูงในญี่ปุ่น จะมีระยะเวลาศึกษาตั้งแต่ครึ่งปี จนถึง 2 ปี สถาบันสอนภาษาบางแห่งก็เปิดสอนเป็น 2 รอบ บางแห่งก็เปิดเต็มวัน บางแห่งก็มีบริการหอพักด้วย สถานภาพของนักศึกษาอคือ 1.นักศึกษาในหลักสูตรวิชาชีพชั้นสูงของวิทยาลัยอาชีวศึกษา จะได้รับสถานภาพเป็น “นักศึกษาวิทยาลัย” 2. นักศึกษาในสถาบันสอนภาษาและสถาบันประเภทอื่นที่นอกเหนือไปจากวิทยาลัยอาชีวศึกษา จะได้รับสถานภาพเป็น “นักศึกษาก่อนวิทยาลัย” นอกจากสถาบันสอนภาษายังจัดหลักสูตรสำหรับนักศึกษาที่ศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในประเทศบ้านเกิดของตนเองไม่ครบ 12 ปีอีกด้วย

     3. หลักสูตรเพื่อเตรียมศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาระดับสูง

 

         นักศึกษาที่ประสงค์เข้าศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาระดับสูงในญี่ปุ่น ต้องสำเร็จการศึกษา ระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนในประเทศของตนเป็นระยะเวลา 12 ปี ผู้สำเร็จการศึกษาในระยะเวลา 10 หรือ 11 ปีอย่างในประเทศมาเลเชีย หรือสิงคโปร์ ซึ่ง 1.เคยศึกษาในสถาบันการศึกษาระดับสูงในประเทศของตนเองเป็นเวลา 1 หรือ 2 ปีหรือเข้ามาศึกษาต่อในประเทศญี่ปุ่นหลังจากได้รับการศึกษาในสถาบันอื่นๆ โดยนับเป็นปีที่ 12 ในประเทศของตนเอง หรือ 2. สำเร็จการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นในประเทศของตนเอง แล้วมาศึกษาต่อในประเทศญี่ปุ่น จำเป็นต้องศึกษาในหลักสูตร “เตรียมเพื่อศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาระดับสูง” เป็นเวลา 1 ปี ข้อควรระวังคือ ถ้านักศึกษาศึกษาในสถาบันที่ไม่มีหลักสูตรเตรียมเพื่อศึกษาในสถาบันการศึกษาระดับสูง นักศึกษาก็จะไม่ได้รับรองคุณสมบัติให้เข้าศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาระดับสูงในญี่ปุ่นได้ อนึ่งนักศึกษาหลักสูตรนี้จะได้สถานภาพเป็น “นักศึกษาวิทยาลัย”

 

 

 

       *จากการสำรวจของกระทรวงยุติธรรม ในช่วยปลายปี พ.ศ. 2545 มีผู้ศึกษาอยู่ในสถาบันสอนภาษาแบ่งตามประเทศต่างๆ ได้ดังนี้ จีน 30,170 คน (รวมไต้หวันและฮ่องกง) เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ 7,587 คน ฟิลิปินส์ 440 คน พม่า 430 คน ไทย 409 คน ประเทศอื่นๆ 2,730 คน รวมเป็น 41,766 คน นอกจากนี้ยังมีผู้เรียนที่ได้รับสถานภาพเป็น “ันักศึกษาวิทยาลัย” อีกหลายพันคน

 

 

 

 

2. การเลือกสถาบันสอนภาษาญี่ปุ่น

     ตามระเบียบแล้ว ไม่มีการอนุญาตให้นักศึกษาเปลี่ยนสถานศึกษาจากสถาบันสอนภาษาหนึ่งไปยังสถาบันสอนภาษาอีกแห่งหนึ่งหรือหลักสูตรภาษาญี่ปุ่นในมหาวิทยาลัยเอกชน จึงควรเลือกสถาบันสอนภาษาอย่างรอบคอบ โดยดูจากเอกสารแนะนำสถาบันแต่ละแห่ง หรือสอบถามโดยตรงจากผู้ที่กำลังเรียนอยู่หรือผู้ที่จบจากสถาบันนั้นๆ

 

 

 

    1. หลักสูตรภาษาญี่ปุ่นสำหรับนักศึกษาต่างชาติในมหาวิทยาลัยเอกชน

 

 

 

        ข้อมูลต่างๆ ของหลักสูตรมีอยู่ในหนังสือ “คู่มือแนะนำหลักสูตรภาษาญี่ปุ่นสำหรับนักศึกษาต่างชาติในมหาวิทยาลัยเอกชน” ซึ่งรวบรวมโดยสมาพันธ์มหาวิทยาลัยเอกชนญี่ปุ่น สามารถขอดูได้จาก สถานฑูตญี่ปุ่นในประเทศต่างๆ ศูนย์ข่าวสารสมาคมการศึกษานานาชาติแห่งประเทศญี่ปุ่นยังรวบรวมรายชื่อของมหาวิทยาลัยลงไปในเว็บไซด์ของสมาคม (http//www.aisj.or.jp) และจัดทำให้ขอรับข้อมูลผ่านระบบเสียงโทรศัพท์และระบบโทรสารอีกด้วย อีกทั้งเว็บไซด์ของสมาคมก็สามารถเชื่อมต่อไปยังมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีหลักสูตรนี้ได้ด้วย

 

 

 

 

    2. สถาบันสอนภาษาญี่ปุ่น

 

 

 

        ในการเลือกการเลือกสถาบันสอนภาษาญี่ปุ่น สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ตรวจสอบว่าสถาบันนั้นได้รับการรับรองจากสมาคมส่งเสริมการศึกษาภาษาญี่ปุ่น(Association for the Promotion of Japanese Education) หรือไม่ เพราะหากสถาบันนั้นมิได้รับการรับรอง นักศึกษาจะไม่ได้รับการตรวจลงวีซ่าว่าเป็น “นักศึกษาวิทยาลัย” และ “นักศึกษาก่อนวิทยาลัย” สำหรับรายชื่อสถาบันสอนภาษาที่ได้รับการรองรับนั้น ท่านสามารถตรวจสอบได้จากหนังสือ “คู่มือแนะนำสถาบันสอนภาษาญี่ปุ่น (Japanese Language Institute in Japan)” หรือดูจากเว็บไซด์ภาคภาษาอังกฤษของสมาคมที่ (http//www.nisshinkyo.com/mcntr.cgi)

 

 

 

        นอกจากนี้ยังสามารถตรวจสอบได้จากรายชื่อสถาบันสอนภาษาญี่ปุ่นซึ่งทางศูนย์แนะแนวทางการศึกษาต่อประเทศญี่ปุ่นได้จัดทำขั้นจากหนังสือ “คู่มือแนะนำสถาบันสอนภาษาญี่ปุ่น” ด้วย

       * สำหรับ “คู่มือแนะนำสถาบันสอนภาษาญี่ปุ่น” นั้นจะจัดทำใหม่ทุกๆ 3 ปี

 

 

 

 

    3. หลักสูตรเตรียมเพื่อศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาระดับสูง

        เนื่องด้วยทางศูนย์แนะแนวการศึกษาต่อประเทศญี่ปุ่นได้จัดทำรายชื่อ “หลักสูตรเตรียมเพื่อศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาระดับสูง” ไว้ ท่านสามารถขอรับข้อมูลได้จากระบบโทรสารและระบบเสียงโทรศัพท์ หรือตรวจสอบจากเว็บไซด์ (http//www.aiej.or.jp)

การเลือกหลักสูตร
ควรพิจารณาจากเงื่อนไขต่างๆ ต่อไปนี้

 

 

 

    1. เนื้อหาของหลักสูตร : เป็นหลักสูตรที่มีเนื้อหาอย่างไรและเป็นหลักสูตรที่เหมาะสมกับจุดมุ่งหมายของตนหรือไม่ เช่น หลักสูตรทั่วไป หลักสูตรภาษาญี่ปุ่นเพื่อศึกษาต่อ หลักสูตรภาษาญี่เพื่อธุระกิจ เป็นต้น

       

ข้อควรระวัง : ผู้เรียนไม่ครบ 12 ปี (ประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย) ในประเทศของตนต้องเลือกเรียนในสถาบันสอนภาษาญี่ปุ่นที่มีหลักสูตรเตรียมเพื่อศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาระดับสูงเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้

 

 

 

    1. การแบ่งระดับชั้นเรียน : มีการจัดสอบเพื่อแบ่งชั้นเรียนตามความรู้ทางภาษาญี่ปุ่น เพื่อที่นักเรียนแต่ละคนจะได้เรียนบทเรียนที่เหมาะสมกับความสามารถทางภาษาญี่ปุ่นของตน เป็นต้น

       

    2. วิชาพื้นฐาน : สถาบันที่มีการเปิดสอนวิชาพื้นฐานสำหรับการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี (ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี สังสมศาสตร์ เป็นต้น) ไปพร้อมกับภาษาญี่ปุ่นด้วยหรือไม่

       

    3. สภาพแวดล้อมของการศึกษา : สถานที่ตั้งของสถาบันดีหรือไม่

       

    4. หอพักของสถาบัน : มีสถานที่พักของสถาบันหรือไม่ในกรณีที่ไม่มีที่พักของสถาบันโดยเฉพาะทางสถาบันมีนโยบายช่วยเหลือการติดต่อหาอพาร์ทเมนต์หรือหอพักอื่นๆ หรือไม่ เดินทางจากที่พักสดวกหรือไม่

       

    5. การแนะแนวด้านการศึกษาต่อและความเป็นอยู่ : มีการให้คำแนะนำหรือให้คำปรึกษาเพื่อเป็นแนวทางศึกษาต่อหรือไม่ ให้คำปรึกษาในด้านความเป็นอยู่หรือไม่

       

    6. ทิศทางของผู้จบการศึกษา : หรือผู้ที่จะศึกษาต่อ

       

    7. จำนวนอาจารย์ผู้สอน : ต่อจำนวนนักศึกษา เพียงพอหรือไม่

       

    8. ค่าเล่าเรียน : เหมาะสมกับจำนวนชั่วโมงที่เรียน จำนวนผู้สอบและอุปการณ์การเรียนการสอน

       

    9. วิธีการคัดเลือก :พิจารณาจากเอกสารเท่านั้น หรือต้องมีการสัมภาษณ์ผู้ค้ำประกันด้วยหรือไม่

       

    10. ประเภทสถานภาพของนักเรียน :ว่าเป็นนักศึกษาวิทยาลัยหรือนักศึกษาก่อนวิทยาลัย

       

    11. เวลาเรียนทั้งหมด

       

    12. การแบ่งสัดส่วนนักเรียนแยกตามประเทศ : มีการแบ่งชั้นเรียนของนักศึกษาที่มาจากประเทศที่ใช้อักษรจีนอยู่แล้วกับนักศึกาาที่มาจากประเทศที่ไม่ได้ใช้อักษรจีนหรือไม่

       

3. หลักเกณฑ์และวิธีการสมัครเข้าศึกษาต่อในสถาบันสอนภาษา

     การเข้าศึกษาในสถาบันสอนภาษาญี่ปุ่นนั้น ท่านจะต้องสำเร็จการศึกษา โดยมีระยะเวลาศึกษาในประเทศของตนมาแล้ว 12 ปี หรือเทียบเท่า

 

 

 

แต่ว่าในกรณีที่ประสงค์จะศึกษาเฉพาะภาษาญี่ปุ่นโดยมิได้สนใจที่จะเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษาแล้ว ท่านสามารถเข้าศึกษาในหลักสูตรปกติของสถาบันสอนภาษาที่ได้รับการรับรองจากสมาคมส่งเสริมการศึกษาภาษาญี่ปุ่นได้ทันที โดยไม่เกี่ยวข้องกับประวัติการศึกษาแต่อย่าใด ในกรณีนี้ท่านไม่จำเป็นต้องเลือกหลักสูตร “เตรียมเพื่อศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาระดับสูง” แต่อย่างใด เนื่องด้วยมาตราฐานในการรับสมัครนั้นจะแตกต่างกันไปตามเงื่อนไขของแต่ละสถานศึกษา ดังนั้นควรตรวจสอบรายระเอียดของสถาบันศึกษาที่ท่านสนใจเสียก่อน

 

 

 

      สำหรับกรณีผู้ที่จบระดับมัธยมศึกษาตอนปลายด้วยระยะเวลา 10 ปีหรือ 11 ปี ซึ่งมีความประสงค์จะเข้าศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาระดับสูง เช่น มหาวิทยาลัยนั้น ท่านจะต้องเข้าศึกษาใน “หลักสูตรเตรียมศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาระดับสูง” ซึ่งกำหนดโดยกระทรวงการศึกษา วัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเสียก่อน จึงจะมีคุณสมบัติสำหรับสมัครหรือสอบเข้าศึกษาต่อในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาของญี่ปุ่นได้

 

 

 

สถาบันส่วนมากจะคัดเลือกนักศึกษาจากเอกสาร แต่ก็มีบางส่วนที่อาจมีการสัมภาษณ์ผู้ค้ำประกันหรือผู้ประสานงาน ด้วย สำหรับเอกสารที่จะส่งไปยังสถาบันมีดังนี้

 

 

 

    1. ใบสมัคร 6 ใบรับรองแพทย์

       

    2. ใบแสดงผลการเรียน (transcript) 7 ค่าสมัคร (ประมาณ 30,000 เยน)

       

    3. ประกาศณียบัตร 8 หนังสือแสดงความคำพันธ์กับผู้ค้ำประกัน)

       

    4. ใบรับรอง 9 การสอบในประเทศของตน)

       

    5. เอกสารแสดงสถานภาพทางการเงิน 10 การสัมภาษณ์ผู้ค้ำประกัน)

       

 

 

 

 

รายระเอียดต่างๆ จะแตกต่างกันไปตามสถาบัน

 

 

 

 ขอให้นักศึกษาติดต่อกับสถาบันนั้นๆ โดยตรง เมื่อส่งเอกสารดังกล่าวข้างต้นแล้ว โรงเรียนจะแจ้งผลการคัดเลือกไปยังผู้สมัครและเป็นตัวแทนในการดำเนินการขอวีซ่าให้ ขั้นตอนการดำเนินงานอยู่ในหัวข้อ “ขั้นตอนการเข้าประเทศญี่ปุ่น”

 

 

 

 

4. ระยะเวลาสมัครเข้าศึกษา

     โดยทั่วไป หลักสูตร 1 หรือ 2 ปี จะเปิดเรียนเดือนเมษายน หลักสุตรปีครึ่งจะเปิดเรียนเดือนตุลาคม กำหนดการรับสมัครจะแตกต่างไปตามแต่ระโรงเรียน แต่ควรสมัครก่อนที่โรงเรียนจะเปิดภาคเรียน 4-6 เดือน โดยผู้ที่ต้องการไปเรียนเดือนเมษายน ควรสมัครช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม ส่วนผู้ที่ต้องการไปเรียนเดือนตุลาคม ควรสมัครเรียนตั้งแต่เดือนเมษายน-มิถุนายน บางแห่งอาจเปิดเรียนช่วงเดือนกรกฎาคม หรือ มกราคม แต่มีน้อยมาก เมื่อรวมเวลาที่ใช้ในการส่งจดหมายไปขอสมัคร การเตรียมเอกสารของตนเอก เวลาที่ต้องจัดส่งเอกสารแล้ว จึงควรเริ่มเตรียมตัวล่วงหน้าก่อนไปศึกษาอย่างน้อย 6-8 เดือน

協力する [kyouryokusuru]

ความหมาย : ร่วมมือ,สามัคคี